ปัตตานี นครรัฐ
รายละเอียดของ “นครปัตตานี” ที่ระบุในไทยรัฐมีดังนี้
หัวใจสำคัญของนโยบายชุดนี้คือ จัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เรียกว่า “นครปัตตานี”
“นครปัตตานี” ไม่ใช่รัฐอิสระ ไม่ใช่การแยกดินแดน แต่เป็นการบริหารท้องถิ่นภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล
โดยรวมจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส เป็น “นครปัตตานี” มีสถานะเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้มีส่วนร่วมโดยตรง
ให้มีผู้ว่าราชการนครปัตตานี 1 คน รองผู้ว่าฯไม่เกิน 3 คน ซึ่งประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งมาเอง
คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯนครปัตตานีคือ ต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิดต้องมีทะเบียนบ้านอยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่น้อยกว่า 180 วัน และดำรงตำแหน่งได้ 4 ปี
ให้มีการจัดตั้งสภานครปัตตานี มีสมาชิกสภาฯ ซึ่งประชาชนเลือกตั้งโดยตรง อำเภอละ 1 คน ดำรงตำแหน่ง 4 ปีเช่นเดียวกัน
ให้ยุบเลิก “ศอ.บต.” โอนอำนาจการบริหารชายแดนใต้ให้ “นครปัตตานี” รับผิดชอบด้านการบริหารทั่วไป การแก้ปัญหาความไม่สงบ การพัฒนาเศรษฐกิจ และการเสริมสร้างสันติสุขของประชาชน
ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบจ. นายกเทศมนตรี นายก อบต. ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเดิม
ให้รัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจตามกฎหมายในการควบคุมดูแลการบริหารราชการนครปัตตานี
รัฐมนตรี มหาดไทยมีอำนาจกำกับผู้ว่าฯนครปัตตานี มีอำนาจยับยั้ง หรือสอบสวนลงโทษ ถ้ากระทำการใดๆที่ขัดต่อมติ ครม.หรือกระทำการใดๆที่อาจเกิดความเสียหายต่อการบริหารราชการ
ให้ ผู้ว่าฯนครปัตตานีต้องทำแผนยุทธศาสตร์ แผนบริหารพื้นที่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และต้องรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะรัฐมนตรีและต่อรัฐสภาทุกปี
ให้รัฐบาลจัดงบประมาณสนับสนุนพัฒนา นครปัตตานี สภานครปัตตานี และข้าราชการทุกหน่วยที่อยู่ในสังกัดนครปัตตานี ฯลฯ
แนวคิดเรื่อง “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “นครปัตตานี” ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้บุคคลของพรรคเพื่อไทยเองอย่าง พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยเสนอเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมมากนัก (ครั้งล่าสุดที่ พล.อ. ชวลิต พูดเรื่องนี้คือปี 2552 ดูรายละเอียดจาก บางกอกทูเดย์: ถอดรหัส ‘นครปัตตานี’ และ คมชัดลึก: “จิ๋ว”ลั่น”นครปัตตานี”ต้องอยู่ภายใต้กม.ไทย)
การนำเสนอไอเดีย “นครปัตตานี” ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ จึงย่อมเป็นพัฒนาการต่อจากไอเดียของ พล.อ. ชวลิต ไปในเส้นทางเดิม (และน่าเชื่อว่าพล.อ. ชวลิต จะยังเป็นแกนหลักในการผลักดันนโยบายนี้ต่อไป ถ้าหากตัว พล.อ. ชวลิต จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อ ไม่ลาออกอย่างที่เป็นข่าว)
มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี (ภาพจากเว็บไซต์จังหวัดปัตตานี)
ในส่วนของภาคประชาชนเองก็มีความพยายามศึกษาข้อดีข้อเสียของการตั้งเขตการปกครองพิเศษ “นครปัตตานี” ที่นำโดย พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ โดยลงพื้นที่จัดงานรับฟังความคิดเห็น 47 ครั้ง ระหว่างเดือนมกราคม 2552 ถึงเดือนมิถุนายน 2553 และได้แถลงร่างผลการศึกษา ชื่อ “การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย : ความพยายามในการแสวงหาแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนจากมุมมองของคนพื้นที่” ในการสัมมนา หัวข้อ “นครปัตตานีภายใต้รัฐธรรมนูญไทย: ความฝันที่จับต้องได้?” เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2553 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ผลการศึกษาได้ระบุ “ความคาดหวัง” ของคนในพื้นที่ทั้งไทยและมุสลิมไว้ 8 ข้อ ดังนี้
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามบังคับแห่งมาตรา 1 ที่กำหนดให้ “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องเป็นการปกครองที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมทางการเมืองในลักษณะที่ทุกฝ่ายเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีที่ยืนและเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย (Inclusiveness) รับฟังเสียงส่วนใหญ่โดยไม่ละเลยเสียงส่วนน้อย คำนึงถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่าง รวมทั้งมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพที่เป็นรูปธรรมแก่คนไทยพุทธซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในพื้นที่
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องมีผู้บริหารที่มีอำนาจสูงสุดทางการปกครองเป็นคนในพื้นที่ และมีจานวนข้าราชการไทยพุทธและไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูในสัดส่วนที่สอดคล้องกับจำนวนประชากร ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผู้บริหารและข้าราชการที่มีสานึกรักท้องถิ่น และมีความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความต้องการของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องมีกลไกที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการริเริ่ม เสนอแนะ และตัดสินใจในเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกิจการของท้องถิ่น รวมทั้งกำกับติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้บริหารท้องถิ่นได้ในระดับที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองได้มีอำนาจในการจัดการชีวิตของตัวเองดังที่กำหนดไว้ใน มาตรา 281 ของรัฐธรรมนูญที่เน้น “หลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น”
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องมีระบบการกลั่นกรองผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่สามารถลดการแข่งขันแตกแยกในชุมชนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในระดับ หนึ่งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งจานวนหนึ่งเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและความรู้ ความสามารถ เหมาะสมกับการเป็นตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องใช้สองภาษา คือ ภาษาไทยและภาษามลายูปัตตานีควบคู่กันไปบนสถานที่และป้ายต่างๆ ของทางราชการ
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องมีระบบการศึกษาที่อยู่ในมาตรฐานกลางของกระทรวงศึกษาธิการ และในขณะเดียวกันต้องสอดคล้องกับความต้องการและอัตลักษณ์ท้องถิ่นด้วย โดยใช้หลักสูตรการศึกษาที่บูรณาการระหว่างสายสามัญและสายศาสนา รวมทั้งมีการเรียนการสอนวิชาภาษามลายูในโรงเรียนของรัฐ ในลักษณะที่ผู้ปกครองจากทุกกลุ่มวัฒนธรรมต่างมีความสบายใจและมั่นใจที่จะส่ง บุตรหลานของตนเข้ามาศึกษาเล่าเรียน
- การปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรต้องมีการบังคับใช้ระบบกฎหมายอิสลามกับคนมุสลิมในพื้นที่ทั้งในแง่ของบทบัญญัติ การวินิจฉัยตัดสิน และการมีสภาพบังคับ โดยเน้นไปที่กฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดกซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตโดยตรงมากที่สุด
อ่านรายละเอียดของการศึกษาได้จาก ประชาไท (นครปัตตานีภายใต้รัฐธรรมนูญไทย : 8 ความคาดหวังจากผลศึกษาปกครองชายแดนใต้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น