วันที่ 23-24 สิงหาคม เป็นวันที่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นการเปิดฉากการทำหน้าที่ของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
SIU ขอนำเสนอบางประเด็นที่น่าสนใจต่อนโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลนับตั้งแต่นี้ไป
แต่ลำดับแรกสุดขออธิบายถึงแนวคิดและหลักการของการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาสักเล็กน้อย
ทำไมต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา?
ผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมรัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จริงๆ เรื่องนี้เป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว โดยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ในมาตรา 176 ว่าเมื่อได้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแล้ว จะต้องแถลงนโยบายต่อหน้ารัฐสภาก่อนจะเข้าบริหารประเทศ ยกเว้นมีกรณีสำคัญและเร่งด่วนจริงๆ เท่านั้น
มาตรา ๑๗๖
คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามมาตรา ๗๕ โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ และเมื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วต้องจัดทำแผนการบริหาร ราชการแผ่นดิน เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการแต่ละปีตามมาตรา ๗๖
ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่ จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
หากอธิบายในภาษาง่ายๆ การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นการบอกว่า “รัฐบาลจะทำอะไรบ้างในช่วงอายุของรัฐบาล 4 ปี” และรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานตามแนวทางที่แถลงไว้ในระยะเวลาทั้งหมดที่บริหารประเทศ ถึงแม้จะดูเป็นงานพิธีการที่ไม่มีประโยชน์โดยตรง แต่มันเปรียบเสมือนการกำกับดูแลแนวทางของรัฐบาลให้ทำตามที่ตัวเองสัญญาไว้
ส่วนที่ต้องแถลงต่อรัฐสภานั้น ก็เพราะเปรียบรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ตามแนวคิดประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั่นเอง (อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน การสื่อสารก้าวหน้ามาก ประชาชนที่สนใจก็สามารถรับฟังการแถลงนโยบายได้โดยตรงด้วย)
นโยบายที่แถลงจะมีหน้าตาอย่างไร?
เนื้อหาในนโยบายของรัฐบาลจะผสมผสานกันระหว่าง “แนวนโยบายแห่งรัฐ” ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กับ “นโยบายของพรรคการเมือง” ตามที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ในช่วงการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เขียนเรื่องนี้ไว้ในหมวดที่ 5 โดยระบุว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องระบุว่าจะดำเนินนโยบายอะไรบ้าง ในกรอบเวลาอย่างไร และหลังจากดำเนินการไปแล้วทุกๆ 1 ปีจะต้องแถลงผลงานต่อสภาด้วย
มาตรา ๗๕
บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นเจตจำนงให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน
ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องชี้แจงต่อรัฐสภาให้ชัดแจ้งว่าจะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครั้ง
มาตรา ๗๖
คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดงมาตรการและรายละเอียดของแนวทางในการปฏิบัติราชการในแต่ละปีของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน
ส่วนของเนื้อหานโยบายนั้น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้กำหนด “แนวนโยบายแห่งรัฐ” เปรียบเสมือน “แนว” หรือ นโยบายในภาพกว้างที่รัฐบาลไหนๆ ก็ต้องปฏิบัติตามนี้ ส่วนแผนงาน แผนปฏิบัติการว่าจะทำอย่างไร เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐบาลจะเสนอผ่านการแถลงนโยบายนั่นเอง
ส่วนของ “แนวนโยบายแห่งรัฐ” อยู่ในมาตรา 77-87 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็แบ่งแนวนโยบายออกเป็นหลายด้าน เช่น ความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน ศาสนา สังคม สาธารณสุข การศึกษา กฎหมาย เศรษฐกิจ ฯลฯ (ผู้สนใจสามารถดูข้อความในรัฐธรรมนูญ หมวด 5 ที่ Wikisource)
คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์
เว็บไซต์รัฐบาลไทยได้เผยแพร่คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้จากThaigov.go.th (PDF)
นโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะแบ่งออกเป็น 8 ข้อใหญ่ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ข้อหนึ่งเป็น “นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก” ส่วนอีกเจ็ดข้อที่เหลือคือนโยบายระยะยาว 4 ปี แบ่งออกเป็นนโยบายตามด้านต่างๆ
- นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก
- นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ
- นโยบายเศรษฐกิจ
- นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต
- นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม
- นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
- นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
นอกจากนี้ในคำแถลงนโยบาย ยังมีส่วนของการมองปัญหาของประเทศ และภาพกว้างว่ารัฐบาลมีจุดประสงค์ใหญ่ในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร ปิดท้ายด้วยตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างนโยบายของคณะรัฐมนตรี กับแนวนโยบายแห่งรัฐในหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญ
โครงสร้างการเขียนนโยบายลักษณะนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาหลายรัฐบาล โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ใช้โครงร่างเอกสารแบบเดียวกัน คือมีนโยบายข้อใหญ่ 8 ข้อ เพียงแต่รายละเอียดของแต่ละนโยบายปลีกย่อยนั้นต่างกันออกไป
หมายเหตุ: ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดนโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบได้ (หรือดาวน์โหลดจากต้นฉบับบนเว็บไซต์ Thaigov)
ถ้าหากผู้อ่าน SIU ลองอ่านเอกสารนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตามที่แทรกไว้ด้านบน จะเห็นว่ามีส่วนผสมผสานระหว่าง“นโยบายที่พูดยังไงก็ถูก” เช่น ส่งเสริมการศึกษา พัฒนาคุณภาพครู รักษาสิ่งแวดล้อม และ “นโยบายที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้มากขึ้น” ซึ่งจะเหมือนกับนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท การแจกแท็บเล็ตพีซี เป็นต้น
ในโอกาสนี้ SIU ขอหยิบนโยบายเพียงบางข้อที่น่าสนใจมาอภิปราย โดยแบ่งหัวข้อให้ตรงตามเอกสารคำแถลงนโยบาย เพื่อง่ายต่อการติดตาม
การมองปัญหาภาพกว้างของประเทศ
ในส่วนต้นของเอกสารคำแถลงนโยบาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ระบุว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วง “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
- การเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงเพราะเหตุผล 4 ประการ คือ
- เศรษฐกิจโลกผันผวน เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป และการขยายตัวของจีนกับอินเดีย
- โครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติมาก ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก
- ประเทศไทยนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศสูงถึงร้อยละ 55 โดยเฉพาะน้ำมันดิบ
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชนในประเทศ
- การเปลี่ยนผ่านด้านการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
- การเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างประชากรและสังคมไทย โดยเน้นเรื่องการเปลี่ยนไปสู่สังคมสูงอายุ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ด้วย
ตรงนี้ต้องถือว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มองภาพกว้างได้ค่อนข้างครบถ้วน และเน้นไปในเรื่องเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเดิมมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
จากประเด็นปัญหา รัฐบาลได้นำเสนอ “จุดมุ่งหมาย” หรือ “เป้าหมาย” ที่เป็นประเด็นหลักในการบริหารราชการแผ่นดิน 3 ประการ
ประการที่หนึ่ง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพและสุขภาพคนไทยในทุกช่วงวัย ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสามารถในการอยู่รอดและแข่งขันได้ของเศรษฐกิจไทย
ประการที่สอง เพื่อนำประเทศไทยสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน
ประการที่สาม เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และการเมืองและความมั่นคง
“เป้าหมาย” สองข้อแรกนั้นสะท้อนการแก้ “ปัญหา” สองข้อแรก ส่วนเป้าหมายข้อที่สามนั้นพูดเรื่องประชาคมอาเซียน 2015 (หรือ พ.ศ. 2558) ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
1) นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก
แบ่งออกเป็น 16 ข้อย่อย โดยส่วนมากคือนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ช่วงก่อนการเลือกตั้ง
๑.๑ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย
๑.๑.๑ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย โดยการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๑.๑.๒ เยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแก่บุคคลทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความเห็นที่แตกต่าง และความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
๑.๑.๓ สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างเป็นอิสระและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและค้นหาความจริงจากกรณีความรุนแรงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การสูญเสียชีวิต บาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความเสียหายทางทรัพย์สิน
๑.๑.๑ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย โดยการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๑.๑.๒ เยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแก่บุคคลทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความเห็นที่แตกต่าง และความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
๑.๑.๓ สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างเป็นอิสระและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและค้นหาความจริงจากกรณีความรุนแรงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การสูญเสียชีวิต บาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความเสียหายทางทรัพย์สิน
ข้อ 1.1.1 คงเป็นหลักการในภาพใหญ่ทั่วไป จุดที่น่าสนใจคือข้อ 1.1.2 ที่เน้นการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นแนวร่วมของพรรคเพื่อไทย (ซึ่งล่าสุดนี้ก็มีประเด็นเรื่องค่าชดเชย 10 ล้านบาทออกมาแล้ว) ส่วนข้อ 1.1.3 แสดงการสนับสนุนคณะกรรมการ คอป. ชุดของนายคณิต ณ นคร ที่พรรคเพื่อไทยออกมาประกาศช่วงใกล้เลือกตั้งว่าสุดท้ายแล้วจะต่อยอดการทำงานของ คอป. ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาในรัฐบาลอภิสิทธิ์ คอป. กลับทำงานได้ไม่สะดวกนักเพราะขาดอำนาจในการสืบสวน และการเรียกเจ้าหน้าที่ของรัฐมาให้ปากคำ ต้องรอดูว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
๑.๒ กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และผู้ประพฤติมิชอบ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งมีกลไกติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบดำเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันปัญหาด้วยการแสวงหาความร่วมมือเชิงรุกกับต่างประเทศในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด สารเคมี และสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศภายใต้การบริหารจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งดำเนินการป้องกันกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ด้วยการรวมพลังทุกภาคส่วนเป็นพลังแผ่นดินในการต่อสู้กับยาเสพติด
ประเด็นเรื่องยาเสพติดในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะอดีตรัฐบาลไทยรักไทยมีปัญหาเรื่องความรุนแรงในการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด
จุดที่น่าสนใจในนโบายเรื่องนี้คงเป็นประโยคว่า “ยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษ” ซึ่งต้องจับตากันต่อไปว่าในระยะยาวจะทำได้จริงแค่ไหน
แต่เมื่อพิจารณาว่าประเด็นเรื่องนี้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกโจมตีจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติอย่างรุนแรง (อ่านบทความ Human Rights Watch ส่งหนังสือถึงยิ่งลักษณ์ให้แก้ปัญหาสิทธิมนุษยชน ประกอบ) จนกลายเป็นจุดอ่อนทางการเมือง ก็คงประเมินได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะหลีกเลี่ยง ไม่เดินซ้ำรอยความผิดพลาดนี้
๑.๕ เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่ไปกับการขจัดความยากจน ยาเสพติด และอิทธิพลอำนาจมืด โดยน้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นหลักปฏิบัติในแนวทางสันติวิธี โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในทุกภาคส่วนกับประชาชนในพื้นที่ อำ นวยความยุติธรรมอย่างทั่วถึง เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสและความเสมอภาค พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ เคารพอัตลักษณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ จะมีการบูรณาการการบริหารจัดการทุกภาคส่วนให้มีเอกภาพทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ รวมทั้งปรับปรุง พัฒนากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้อง ทันสมัยกับสภาพความเป็นจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบอย่างเป็นธรรม
การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ และยังไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย
ในนโยบายข้อ 1.5 พูดถึงแนวทางแก้ปัญหาในภาพรวม ซึ่งคงไม่แตกต่างกันกับรัฐบาลอื่นๆ จุดที่น่าสนใจคือประเด็นเรื่อง “การกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ” ซึ่งก็คือแนวคิด “นครปัตตานี” ที่พรรคเพื่อไทยเสนอนั่นเอง
ประเด็นเรื่องเขตการปกครองพิเศษเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะอาจถูกโจมตีเรื่องการแบ่งแยกดินแดนหรือการเสียดินแดนได้ คาดว่าพรรคเพื่อไทยคงจะเลี่ยงการใช้คำว่า “นครปัตตานี” ในนโยบาย และเปลี่ยนมาใช้คำว่า “การปกครองส่วนท้องถิ่น” แทน โดยเสริมคำขยายว่า “ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ” เอาไว้ด้วย
๑.๖ เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคร่วมกัน โดยเฉพาะการเร่งแก้ไขปัญหากระทบกระทั่งตามแนวพรมแดน ผ่านกระบวนการทางการทูตบนพื้นฐานของสนธิสัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งดำเนินการตามข้อผูกพันในการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตลอดจนการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในและภายนอกภูมิภาค
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกัมพูชา ตกต่ำถึงขีดสุดในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เนื่องจากมีปัญหาการปะทะกันในแนวพรมแดนหลายจุด และสร้างความคั่งแค้นให้กับประชาชนทั้งสองฝั่ง
สันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาของทุกประเทศ และการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับนายกฯ ฮุน เซน ของกัมพูชา ได้บรรจุเรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ไว้ในนโยบายเร่งด่วน เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน
๑.๗ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
๑.๗.๑ ชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทชั่วคราวเพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงทันที และปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้มุ่งสู่การสะท้อนราคาต้นทุนพลังงาน
๑.๗.๒ จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน
๑.๗.๓ ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต
๑.๗.๔ แก้ไขปัญหาค่าครองชีพโดยการดูแลราคาสินค้าและการมีรายได้เพื่อเพิ่มกำลังซื้อสุทธิของประชาชนโดยป้องกันและแก้ไขการผูกขาดทั้งทางตรงและทางอ้อม
นโยบายข้อ 1.7 เป็นเรื่องสภาวะค่าครองชีพในระยะสั้น เราต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ในปีสุดท้ายโดนปัญหาเรื่องค่าครองชีพถีบตัวสูง ไม่ว่าจะเป็นไข่ น้ำตาล น้ำมันปาล์ม หรือหมู ราคาแพงขึ้นมาก จนเสียคะแนนนิยม และแพ้การเลือกตั้ง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นสืบทอด “ภาพลักษณ์” ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมาจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเดิม เรื่องค่าครองชีพจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นมากในระดับ “พลาดไม่ได้” และต้องออกมาตรการเร่งด่วนมาแก้ไขปัญหานี้ทันที
ประเด็นที่น่าสนใจคือข้อ 1.7.1 เรื่องการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อให้ราคาน้ำมันลดลง ซึ่งถือเป็นนโยบายประชานิยมเรียกคะแนนเสียงแบบหนึ่ง นโยบายนี้ย่อมทำให้ประชาชนพึงพอใจ แต่ก็มีคำถามว่าในระยะยาวจะแก้ปัญหาได้แค่ไหน และถ้าราคาน้ำมันโลกกลับมาถีบตัวสูงขึ้น รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ชดเชยส่วนต่างค่าน้ำมัน ดังนั้นในระยะยาวแล้ว รัฐบาลจะต้องรีบแก้ไขปัญหาเรื่องโครงสร้างราคาพลังงาน และดำเนินนโยบายพลังงานทดแทนไปพร้อมกันด้วย
ส่วนนโยบายข้อ 1.7.2 น่าสนใจมากเพราะเป็นนโยบายชุด “บัตรเครดิต” ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ ถึงแม้จะไม่โด่งดังเหมือนบัตรเครดิตเกษตรกร แต่ก็มีพื้นฐานแนวคิดแบบเดียวกัน นั่นคือให้ “วงเงิน” สำหรับผู้ประกอบกิจการบางประเภทไว้ให้ดำเนินธุรกิจเป็นการฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ นโยบายเหล่านี้ย่อมถูกใจผู้ประกอบการ และส่งเสริมภาคธุรกิจ แต่ก็เกิดคำถามแบบเดียวกันว่าจะควบคุมเรื่องหนี้หรือวินัยในการใช้เงินได้อย่างไร
๑.๘ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค
๑.๘.๑ พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท อย่างน้อย ๓ ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพและแผนการปรับโครงสร้างการผลิตอย่างครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการมีรายได้ที่มั่นคงและสามารถใช้หนี้คืน
๑.๘.๒ ดำเนินการให้แรงงานมีรายได้เป็นวันละไม่น้อยกว่า ๓๐๐ บาท และผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท อย่างสอดคล้องกับผลิตภาพและประสิทธิภาพของบุคลากร รวมทั้งมีมาตรการเพื่อลดภาระแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้แรงงานและบุคลากรสามารถดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีและคุณภาพชีวิตที่ดี
๑.๘.๓ จัดให้มีเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ โดยผู้ที่มีอายุ ๖๐-๖๙ ปี จะได้รับ ๖๐๐ บาท อายุ ๗๐-๗๙ ปี จะได้รับ ๗๐๐ บาท อายุ ๘๐-๘๙ ปี จะได้รับ ๘๐๐ บาท และอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป จะได้รับ ๑,๐๐๐ บาท
๑.๘.๔ ให้มีมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่วไป ได้แก่ บ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรก
นโยบายข้อ 1.8 ถือเป็น “ประชานิยมชุดใหญ่” ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ในช่วงการเลือกตั้ง ตั้งแต่การพักหนี้เกษตรกร เรื่องค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนปริญญาตรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และการลดภาษีบ้านหลังแรก-รถคันแรก
นโยบายเหล่านี้เป็นที่ถกเถียงในสังคมมาเยอะแล้ว (โดยเฉพาะนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท) คำถามก็เป็นประเด็นเดิมว่า สุดท้ายรัฐบาลจะหาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในนโยบายเหล่านี้
หมายเหตุ อ่านเรื่องค่าแรงขั้นต่ำในบทความเก่าของ SIU ประกอบ
- “ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท” คุณประโยชน์หรือโทษภัย ?
- “ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท” วิกฤตและโอกาสของชนชั้นกลางไทย
- นักวิชาการชี้ค่าแรง 300 บาทต้องขึ้นแต่ต้องปรับตัวด้วย
๑.๙ ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้เหลือร้อยละ ๒๓ ในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ และลดลงเหลือร้อยละ ๒๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ขยายฐานภาษี และรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
ประเด็นเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยพูดควบคู่กับนโยบายขึ้นค่าแรงอยู่เสมอ ในภาพรวมเราเห็นด้วยว่าควรลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจทั้งในไทยและนักลงทุนจากต่างประเทศ เพียงแต่ก็ยังกังขาว่าเงินรายได้แผ่นดินที่จะมาจากภาคธุรกิจขยายตัว จะช่วยชดเชยหายได้จากการลดอัตราภาษีหรือไม่
๑.๑๐ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน สนับสนุนสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงเพิ่มสวัสดิการของรัฐเพื่อเป็นการดูแลสังคมในชุมชน จัดหาแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน โดย
๑.๑๐.๑ เพิ่มเงินทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกแห่งละ ๑ ล้านบาท
๑.๑๐.๒ จัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยมีวงเงินเฉลี่ยจังหวัดละ ๑๐๐ ล้านบาท
๑.๑๐.๓ จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้ในวงเงินประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการ สนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อให้สามารถกู้ยืมเพื่อการสร้างอาชีพ ผนวกกับกลไกของ “หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ” ในสถานศึกษาโดยมุ่งให้เกิดวิสาหกิจนวัตกรรมใหม่ที่จะเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
๑.๑๐.๔ จัดสรรงบประมาณเข้ากองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นจำนวนเงิน ๓๐๐,๐๐๐ ๔๐๐,๐๐๐ และ ๕๐๐,๐๐๐ บาทตามลำดับขนาดของหมู่บ้าน เพื่อให้หมู่บ้านบริหารจัดการกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนด้วยตนเอง
นโยบายชุด 1.10 เป็นการต่อยอดนโยบายกองทุนของพรรคไทยรักไทยเดิม เราจะเห็นการเพิ่มเงินเข้ากองทุนหมู่บ้าน และกองทุน SML ที่มีอยู่แล้ว แต่นอกจากนี้เราจะยังเห็นของใหม่อย่าง “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” และ “กองทุนตั้งตัวได้” ที่เพิ่มเข้ามาอีก (กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีถือว่าน่าสนใจ แต่ยังมีรายละเอียดไม่มากนัก)
๑.๑๑ ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยดูแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพที่เหมาะสม คำนึงถึงกลไกราคาตลาดโลก โดยใช้วิธีบริหารจัดการทางการตลาดและกลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งผลักดันให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงเพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุน และนำระบบรับจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่เกษตรกร เริ่มต้นจากการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นไม่เกินร้อยละ ๑๕ ที่ราคาเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ พร้อมทั้งจัดให้มีการเยียวยาความเสียหายของพืชผลจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกร การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรให้สมบูรณ์ และการออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร
นโยบายข้อ 1.11 เป็นนโยบายภาคการเกษตรระยะสั้นตามที่หาเสียงเอาไว้ จุดที่น่าสนใจคือการฟื้นระบบจำนำข้าวมาใช้ เปลี่ยนไปจากนโยบายประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง
จากการศึกษานโยบายของ SIU นโยบายประกันรายได้-จำนำข้าวต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ทั้งในเรื่องแนวคิดและการลงมือปฎิบัติจริง และมีกลุ่มผู้ได้-เสียประโยชน์ที่แตกต่างกัน จึงยังฟันธงได้ยากว่านโยบายไหนเหมาะสมกับภาคการเกษตรของไทยกันแน่
ส่วนนโยบายอีกข้อที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือบัตรเครดิตเกษตรกร ซึ่งเป็นนโยบายหลักข้อหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็ถูกบรรจุอยู่ในคำแถลงนโยบายด้วยเช่นกัน
๑.๑๒ เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศโดยประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ เป็นปี“มหัศจรรย์ไทยแลนด์” (“Miracle Thailand ” Year) และประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลที่จะมีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕
นโยบายด้านการท่องเที่ยวถือว่าน่าสนใจ เพราะพรรคเพื่อไทยแทบไม่เคยพูดถึงในช่วงการหาเสียงเลย และคำว่า “มหัศจรรย์ไทยแลนด์” เป็นคำใหม่ที่คนไทยเพิ่งเคยได้ยิน
แน่นอนว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ดี รวมถึงการใช้พระราชพิธีมหามงคลเป็นจุดดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ แต่คำถามคือปี 2554 ค่อนมาเลยครึ่งปีแล้ว จะดำเนินนโยบายในส่วนของปีนี้ได้จริงหรือไม่ และ Miracle Thailand นั้นต่างจากปีท่องเที่ยวแบบเดิมๆ อย่าง Amazing Thailand มากน้อยแค่ไหน
๑.๑๖ เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ
นโยบายเร่งด่วนข้อสุดท้าย 1.16 เป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ระบุชัดว่าจะมี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (หรือ สสร.3) อีกครั้งในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งหมด และการเห็นชอบผ่านประชามติ จากเดิมที่มีข่าวว่าอาจจะใช้รัฐธรรมนูญ 40 เป็นแกนหลักและใช้กระบวนการทางรัฐสภาตามปกติ
2) นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ
ส่วนของนโยบายระยะยาวเริ่มต้นที่ข้อที่ 2 เรื่องนโยบายความมั่นคงของประเทศ นโยบายที่น่าสนใจได้แก่
๒.๓ พัฒนาและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ส่งเสริมให้กองทัพพัฒนาความสัมพันธ์ทางทหารกับมิตรประเทศ และมีความพร้อมในการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพในกรอบสหประชาชาติ พัฒนาความสัมพันธ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้านบนพื้นฐานของการสร้างบรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามหลักฐานพื้นฐานของกฎหมายและสนธิสัญญาที่มีอยู่เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อระงับยับยั้งและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและยาเสพติดให้หมดไป
ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เราเห็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาพรมแดนกับกัมพูชา ในนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เน้นเรื่องนี้อย่างชัดเจน ในการสร้างมิตรภาพและความร่วมมือในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องทำหลักเขตแดนด้วย
๒.๔ พัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติ โดยเน้นการบริหารวิกฤตการณ์เพื่อรับมือภัยคุกคามด้านต่าง ๆ ทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นที่มากขึ้น โดยมุ่งระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนให้สามารถดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกัน แก้ไข บรรเทา และฟื้นฟูความเสียหายของชาติที่เกิดจากภัยต่าง ๆ รวมถึงให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับปัญหาความมั่นคงในรูปแบบใหม่ในทุกด้าน ได้แก่ ด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงของมนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้าย และอุบัติภัย ทั้งนี้ เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของประเด็นปัญหาด้านความมั่นคงในยุคโลกาภิวัตน์
ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติเริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งมากขึ้น และถือเป็น “ภัยคุกคามด้านความมั่นคงแบบใหม่ที่ไม่ใช่การทหาร” (Non-traditional Security Threats) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติลักษณะนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
3) นโยบายเศรษฐกิจ
แบ่งเป็นข้อย่อยหลายข้อ เริ่มจาก
๓.๑ นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
๓.๑.๑ ดำเนินการให้มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และให้เศรษฐกิจสามารถเจริญเติบโตในอัตราสูงอย่างมีเสถียรภาพ โดยดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สนับสนุนการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม และก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มีการจ้างงานเต็มที่ ระดับราคามีเสถียรภาพระมัดระวังความเสี่ยงจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยการสร้างความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพของตลาดเงินและตลาดทุนในประเทศ รวมถึงการสร้างความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
นโยบายเรื่องนี้เป็นเรื่องคาบเกี่ยวระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่า “ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ” เป็นปัจจัยที่สำคัญของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบ 5 ปีหลัง
อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขที่เขียนไว้ในข้อ 3.1.1 ยังเป็นนามธรรมอยู่มาก และต้องรอดูต่อไปว่าจะมีแผนปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมมากน้อยแค่ไหน
๓.๑.๔ ปรับโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างฐานรายได้ภาษีที่ยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ทั้งจากภาษีและที่มิใช่ภาษี
ปัญหาเรื่องภาษีอากรเป็นอีกปัญหาที่เรื้อรังมานาน ทั้งเรื่องฐานภาษีและชนิดของภาษี ซึ่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ช่วงแรก นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเคยจุดประเด็นเรื่องภาษีที่ดินกับภาษีมรดก แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป
๓.๑.๗ บริหารสินทรัพย์ของประเทศที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งสินทรัพย์ของภาครัฐ ตลอดจนทุนในท้องถิ่นที่รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีชีวิต วัฒนธรรม รวมทั้งพิจารณาการจัดตั้งกองทุนที่สามารถใช้ในการบริหารสินทรัพย์ของชาติให้เป็นประโยชน์ เช่น กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ กองทุนนํ้ามัน เชื้อเพลิงสำรองแห่งชาติ และกองทุนความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น
จุดที่น่าสนใจในข้อนี้คือ “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” หรือ Sovereign Wealth Fund (SWF) ซึ่งจะนำเงินทุนสำรองของประเทศไปลงทุนให้งอกเงยกว่าเดิม แนวคิดนี้พูดกันมานานแล้ว และมีหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างที่คนไทยคุ้นเคยกันดีคือกองทุนเทมาเส็ค ของสิงคโปร์ แต่ก็ยังมีกองทุนของประเทศอื่นๆ ที่ขนาดใหญ่กว่ามาก เช่น GIC กองทุนอีกกองของสิงคโปร์, ADIA ของอาบูดาบี, CIC ของรัฐบาลจีน เป็นต้น
หมายเหตุ: อ่านเรื่องกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ในบทสัมภาษณ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
๓.๓ นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
๓.๓.๑ ภาคเกษตรกรรม
๖) จัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรที่มีข้อมูลการเกษตรของครัวเรือนครบถ้วน สามารถเชื่อมโยงกับบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อความสะดวกในการสนับสนุนช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกร สร้างหลักประกันความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกร จัดให้มีอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้านเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ตลอดจนจัดให้มีรายการโทรทัศน์เพื่อการเกษตรเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการผลิตและการตลาดแก่เกษตรกรทั่วไป
ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะยกเลิกระบบประกันรายได้เกษตรกร และเปลี่ยนมาใช้ระบบจำนำข้าว แต่ชิ้นส่วนสำคัญอย่าง “การทำทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร” ที่เคยใช้ในระบบประกันรายได้เกษตรกรยังคงอยู่ ซึ่งระบบนี้ถือเป็นระบบสารสนเทศทางการเกษตรที่สำคัญ และช่วยให้ประเทศไทยสามารถวางแผนด้านเกษตรกรรมได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้นมาก
๓.๓.๒ ภาคอุตสาหกรรม
๖) พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งใหม่ โดยพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ในทุกภูมิภาคที่เหมาะสมเพื่อรองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษ และพัฒนาเส้นทางการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่อุตสาหกรรมดังกล่าวกับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจระหว่างฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยสำหรับรองรับอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน
จุดที่น่าสนใจคือเรื่องการสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งใหม่ นอกเหนือไปจาก Eastern Seaboard ที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว และเรื่อง “สะพานเศรษฐกิจ” ที่เชื่อมระหว่างทะเลสองฝั่งของประเทศไทย
สิ่งที่น่าจับตาคือประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ และต้องรอดูว่าในทางปฏิบัติจริง จะไม่ก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจริงๆ หรือ
๓.๓.๔ การตลาด การค้า และการลงทุน
๕) ส่งเสริมการขยายตลาดเชิงรุกเพื่อรักษาตลาดเดิมและสร้างตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปตลาดหลัก โดยส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการในตลาดใหม่ ได้แก่ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก พร้อมทั้งรักษาส่วนแบ่งในตลาดหลักไม่ให้ลดลง ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในเชิงของทักษะเทคโนโลยี และวิทยาการที่จำเป็นในการแข่งขันระดับโลกเพื่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของประเทศในอนาคต และเป็นการส่งเสริมให้สินค้าและบริการของไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายจากผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ
ประเด็นนี้จะสอดคล้องกับ “ปัญหาภาพกว้าง” ข้อ 1 ที่รัฐบาลมองว่าเศรษฐกิจของไทยพึ่งพิงกับการส่งออกมาก และยังเป็นการส่งออกไปยังประเทศพัฒนาแล้วจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นการขยายไปยังตลาดใหม่ๆ เพื่อลดภาวะการพึ่งพิงตลาดเดิมจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อประเทศไทยมาก
น่าสนใจว่าการระบุชื่อตลาดใหม่ 5 พื้นที่คือ “จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก” มีฐานคิดอย่างไรในการเลือกประเทศเหล่านี้ ซึ่งในเอกสารไม่ได้ระบุเหตุผลเอาไว้
๓.๔ นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางเพื่อขนส่งมวลชน และการบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าและบริการ
๓.๔.๔ พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางราง โดยเชื่อมโยงโครงข่ายและการบริหารจัดการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้าและบริการที่สะดวกและปลอดภัยทั้งในพื้นที่ชนบท พื้นที่เมือง และระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการขยายฐานการผลิตตามแนวเส้นทางรถไฟ
๑) พัฒนาระบบรถไฟทางคู่เชื่อมชานเมืองและหัวเมืองหลักในเส้นทางที่มีความสำคัญ
๒) ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูงสาย กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ กรุงเทพฯ–นครราชสีมา กรุงเทพฯ–หัวหิน และเส้นทางอื่นเพื่อเตรียมการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
๓) ศึกษาและพัฒนาขยายทางรถไฟสายแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังชลบุรีและพัทยา
๒) ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูงสาย กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ กรุงเทพฯ–นครราชสีมา กรุงเทพฯ–หัวหิน และเส้นทางอื่นเพื่อเตรียมการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
๓) ศึกษาและพัฒนาขยายทางรถไฟสายแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังชลบุรีและพัทยา
การขนส่งระบบรางเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยมาโดยตลอด และทำให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าของไทยมีราคาแพงมาก ประเด็นเรื่องการขนส่งระบบรางนี้เคยถูกพูดไว้ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่มีปัญหาเรื่องการเมืองจนไม่สามารถดำเนินการได้
สิ่งที่น่าสนใจคือการระบุเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 3 สายใน 3 ภาค และการขยายแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไปยังพัทยา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกด้วย
๓.๕ นโยบายพลังงาน
๓.๕.๓ กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
นโยบายการดูแลราคาน้ำมันนั้นต่างไปจากรัฐบาลก่อนๆ และนี่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ไม่ได้นั่งเก้าอี้ รมว. พลังงาน ต่อเป็นสมัยที่สาม
๓.๖ นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.๖.๒ ส่งเสริมการเข้าถึงการใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่มีการใช้งานตามความเหมาะสมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ผลักดันให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ใช้กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ จัดให้มีบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามมาตรฐานการให้บริการในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และสถานศึกษาที่กำหนดโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการจัดให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง
นโยบายนี้อธิบายง่ายๆ คือ Wi-Fi สาธารณะ ในสถานที่ราชการ และสถานศึกษา ซึ่งมีบางประเทศหรือบางเมืองใหญ่ของโลกประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น สิงคโปร์ที่ให้บริการ Wi-Fi ขั้นพื้นฐานฟรีทั้งเกาะ
จุดที่น่าสนใจคือแหล่งที่มาของเงินทุนจะเป็นกองทุนวิจัยและพัฒนาของ กสทช. ที่หักจากเงินค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ขอใบอนุญาต เงินส่วนนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาลโดยตรง จึงน่าติดตามว่ารัฐบาลจะได้รับความร่วมมือจาก กสทช. หรือไม่
4) นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต
แบ่งเป็นหลายข้อย่อยเช่นกัน
๔.๑ นโยบายการศึกษา
๔.๑.๒ สร้างโอกาสทางการศึกษา กระจายโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทย โดยคำนึงถึงการสร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่ประชากรทุกกลุ่ม ซึ่งรวมถึงผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้บกพร่องทางกายและการเรียนรู้ รวมทั้ง ชนกลุ่มน้อย โดยส่งเสริมการให้ความรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาถึงแรกเกิดให้ได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพทั้งแม่และเด็ก สนับสนุนการจัดการศึกษาตามวัยและพัฒนาการอย่างมีคุณภาพตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจัดให้มีการเทียบโอนวุฒิการศึกษาสำหรับกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น กลุ่มแม่บ้าน จัดให้มีระบบสะสมผลการศึกษาและการเทียบโอนเพื่อขยายโอกาสให้กว้างขวางและลดปัญหาคนออกจากระบบการศึกษา
นอกจากนี้ จะดำเนินการลดข้อจำกัดของการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาชั้นสูง โดยจัดให้มี“โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต” โดยให้ผู้กู้เริ่มใช้คืนต่อเมื่อมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวได้ พักชำระหนี้แก่ผู้เป็นหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยปรับเปลี่ยนการชำระหนี้เป็นระบบที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต ปรับปรุงระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อทุกระดับให้เอื้อต่อการกระจายโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะจัดให้มีระบบคัดเลือกกลางเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ดำเนิน “โครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน” เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ จัดการศึกษาชุมชนเพื่อมุ่งให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และการศึกษาตลอดชีวิต
ประเด็นนี้เขียนมาค่อนข้างยาว สามารถแยกส่วนที่น่าสนใจได้ดังนี้
- การส่งเสริมการศึกษานอกระบบ โดยให้เทียบโอนวุฒิได้
- การปรับปรุงกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การฟื้นโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ในสมัยรัฐบาลทักษิณกลับมาอีกครั้ง
๔.๑.๕ เร่งพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยใช้เป็นเครื่องมือในการเร่งยกระดับคุณภาพและการกระจายโอกาสทางการศึกษา จัดให้มีระบบการเรียนแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติเพื่อเป็นกลไกในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ให้เป็นแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการศึกษา พัฒนาระบบ “ไซเบอร์โฮม” ที่สามารถส่งความรู้มายังผู้เรียนโดยระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ส่งเสริมให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา ขยายระบบโทรทัศน์เพื่อการศึกษาให้กว้างขวาง ปรับปรุงห้องเรียนนำร่องให้ได้มาตรฐานห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งเร่งดำเนินการให้ “กองทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา” สามารถดำเนินการตามภารกิจได้
นโยบายด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ประเด็นหลักคงอยู่ที่แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา แต่ก็ยังมีเรื่องเครือข่ายการเรียนรู้ภายในบ้านหรือ “ไซเบอร์โฮม” เพิ่มเข้ามาด้วย
๔.๒ นโยบายแรงงาน
๔.๒.๖ เตรียมการรองรับการเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเน้นระบบบริหารจัดการเพื่อจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ จัดระบบอำนวยความสะดวก และมาตรการการกำกับดูแล ติดตามการเข้าออกของแรงงานทุกประเภทเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีฝีมือเข้าประเทศควบคู่กับการป้องกันผลกระทบจากการเข้าประเทศของแรงงานไร้ฝีมือ
ประเด็นที่น่าสนใจคงเป็นเรื่องการรองรับแรงงานจากการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาแรงงานข้ามชาติตามมาอีกมาก
๔.๓ นโยบายสุขภาพ
๔.๓.๗ ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย โดยประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการสร้างความก้าวหน้าในทางวิชาการ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับบริการสุขภาพโดยรวมของคนไทย สนับสนุนเอกชนให้จัดบริการศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยที่มีมาตรฐาน รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการใช้บุคลากรทางการแพทย์ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนให้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินงาน
นโยบายสุขภาพในภาพรวมคงไม่ต่างอะไรจากระบบในปัจจุบัน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบเดียวกับกรณี 30 บาทรักษาทุกโรคอีก แต่จะมีเรื่องการดันผู้ประกอบการด้านสุขภาพไทยซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก ให้เป็น “medical hub” ของเอเชีย
5) นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๕.๔ สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนโดยใช้มาตรการทางภาษีและจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย พิจารณาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ที่ดินทิ้งร้างทางราชการ ปกป้องที่สาธารณประโยชน์ ที่ดินทุ่งเลี้ยงสัตว์ ห้ามการปิดกั้นชายหาดสาธารณะ ผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาการดำเนินคดีโลกร้อนกับคนจน
ปัญหาเรื่องที่ดินเป็นเรื่องที่ลักลั่นย้อนแย้งของสังคมไทย เพราะผู้ที่ถือครองที่ดินจำนวนมากคือนักการเมืองทั้งระดับ ส.ส. และ ส.ว. ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นน่าติดตามว่าในรัฐบาลนี้จะสามารถแก้ปัญหากระจายที่ดินได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงแค่นโยบายสวยหรูอย่างที่แล้วๆ มา
๕.๗ สร้างภูมิคุ้มกันและเตรียมความพร้อมในการรองรับและปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและพิบัติภัยธรรมชาติ โดยการพัฒนาองค์ความรู้และระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มขีดความสามารถในการพยากรณ์และคาดการณ์ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติในระดับประเทศและระดับพื้นที่ จัดทำยุทธศาสตร์รองรับพิบัติภัยระยะยาว ส่งเสริมและเร่งรัดการเตือนภัย และการเตรียมความพร้อมในการรับมือความแปรปรวนในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นฐานกับการรับมือความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ป้องกันภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม สึนามิ แผ่นดินไหว และดินถล่ม สร้างกลไกส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลระดับชุมชน ท้องถิ่น เพิ่มขีดความสามารถในระดับชุมชนให้เข้มแข็งพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติต่าง ๆ ดำเนินการศึกษาอย่างรอบคอบในเรื่องของความจำเป็นของโครงการพัฒนาเขื่อนและเกาะเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ และภาคกลางให้ปลอดภัยจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกตามสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญที่แอบแทรกอยู่ในนโยบายข้อนี้คือเรื่องเขื่อนกั้นน้ำทะเลที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพรรคเพื่อไทยพูดไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับได้รับเสียงคัดค้านไม่น้อยจาก NGO ด้านสิ่งแวดล้อม สังเกตว่าในนโยบายจะเขียนไว้แค่ “ดำเนินการศึกษา” เท่านั้น
6) นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม
นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยเป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้วอีกเช่นกัน แต่ประเทศไทยยังประสบปัญหาในการพัฒนาเทคโนโลยีไม่เปลี่ยนแปลง
นโยบายในด้านนี้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่โดดเด่นนัก และยังเป็นนามธรรมสูง มีข้อที่น่าพูดถึงเพียงข้อเดียวคือ 6.5 ที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) มาใช้งาน
๖.๕ ส่งเสริมการใช้ข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การวางแผนการผลิตด้านการเกษตร การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
7) นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
นโยบายเรื่องต่างประเทศเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง เพราะปัจจัยทั้งจากความสัมพันธ์กับกัมพูชา และเส้นตายการรวมประชาคมอาเซียน 2015 ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
๗.๑ เร่งส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความใกล้ชิดระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยว การขยายการคมนาคมขนส่ง และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคเพื่อส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
๗.๒ สร้างความสามัคคีและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียนและส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียภายใต้กรอบความร่วมมือด้านต่าง ๆ และเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และความมั่นคง
จะเห็นว่าในนโยบายรัฐบาลได้ยกเรื่องประเทศเพื่อนบ้านและเรื่องอาเซียนไว้เป็นสองข้อแรก ต้องรอดูว่ากระทรวงการต่างประเทศในยุคของรัฐมนตรีสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ถูกมองว่าเป็น “รูรั่ว” ของรัฐบาลนี้ จะตอบสนองนโยบายได้มากน้อยเพียงใด
๗.๘ ใช้ประโยชน์จากโครงข่ายคมนาคมขนส่งในภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาคให้เป็นประโยชน์ต่อการขยายฐานเศรษฐกิจทั้งการผลิตและการลงทุน โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่อยู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและเมืองชายแดน
ประเด็นเรื่องเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค ถือเป็นเส้นเลือดทางเศรษฐกิจสำคัญในอนาคตอันใกล้ น่าสนใจว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
อ่านบทความ รู้จักเส้นทางเศรษฐกิจสายอาเซียน GMS Economic Corridors และ พันศักดิ์ วิญญรัตน์: ยุทธศาสตร์ Reversed Cross สำหรับประเทศไทยในทศวรรษหน้า ประกอบ
8) นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
นโยบายข้อสุดท้ายพูดถึงการขับเคลื่อนนโยบายทั้งหมดที่ว่ามา ผ่านการบริหารราชการแผ่นดินด้วยกลไกลภาครัฐต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการ หรือองค์กรอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
๘.๑ ประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน
๘.๑.๖ สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีระบบที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถให้บริการสาธารณะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตามความคาดหวัง รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลาย ๆ แห่งร่วมกันจัดบริการสาธารณะบางอย่าง ซึ่งโดยสภาพหรือเพื่อประสิทธิภาพ ควรที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต้องร่วมกันทำ โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมตามศักยภาพของท้องถิ่น ให้มีการเชื่อมโยงและบูรณาการภารกิจกับแผนชุมชนและแผนระดับต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อเป็นฐานสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตยในท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ปรับปรุงการจัดระบบความสัมพันธ์ของราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสม ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณและบุคลากรของท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ที่เหมาะสม และมีระบบบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิภาพพร้อมรองรับภารกิจและให้บริการที่ดีแก่ประชาชน ตลอดจนเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่บัญญัติเป็นหลักการไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด ๑๔ การปกครองส่วนท้องถิ่น
ประเด็นที่น่าสนใจจุดแรกคือเชื่อมโยงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายๆ แห่ง เพื่อบริหารจัดงานโครงการขนาดใหญ่ ที่องค์กรเพียงแห่งเดียวไม่สามารถจัดการได้ (ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพิงส่วนกลางมาตลอด) แนวทางนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
๘.๒ กฎหมายและการยุติธรรม
๘.๒.๑ ปฏิรูประบบกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรมทั้งระบบให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เร่งรัดจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินการโดยอิสระตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รวมถึงสนับสนุนคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายและองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้สามารถดำเนินการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัญหาเรื่องกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือล้าสมัย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในปัญหาทางการเมืองรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา การมีนโยบายปฏิรูปกฎหมายเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ก็ต้องจับตาดูไม่ให้เป็นกระบวนการตามระบบราชการทั่วไป
บทสรุป: อนาคตประเทศไทยในกำมือยิ่งลักษณ์
ในการปราศรัยหาเสียงใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค. พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคเลือกนำเสนอหัวข้อการปราศรัยแสดง “วิสัยทัศน์” ที่แตกต่างกันไป
พรรคประชาธิปัตย์ใช้หัวข้อว่า “อนาคตประเทศไทย ใต้ฟ้าเดียวกัน” ส่วนพรรคเพื่อไทยใช้หัวข้อ “อนาคตประเทศไทย 2020″
ตอนนี้เราทราบกันดีแล้วว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นวิสัยทัศน์ “อนาคตประเทศไทย 2020″ จะเป็นเป้าหมายในการดำเนินงานของรัฐบาลนี้ อย่างน้อยก็ในช่วงของอายุรัฐบาล
- รายได้ประชาชาติของไทย จะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคนไทยทั้งหมดจะมีรายได้เหนือเส้นความยากจน คนไทยทุกครอบครัวจะมีบ้านของตนเอง เกษตรกรทุกคนจะมีที่ทำกินเป็นของตนเอง
- คนไทยจะมีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 1,000 บาท และเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีขั้นเริ่มต้นที่ 30,000 บาท/เดือน
- คนไทยจะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าและปลอดยาเสพติด รับประทานอาหารปลอดภัย มีสถานพยาบาลที่ทันสมัย และที่ออกกำลังกายทั่วประเทศ
- เยาวชนไทยจะมีการศึกษาทั่วถึงทันโลก พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม และจริยธรรม
- ไทยจะมีจำนวนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเป็น 2 เท่า
- การคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ จะสะดวกยิ่งขึ้น เพราะรถไฟฟ้าจะเสร็จทั้ง 10 สาย มีการสร้างเมืองใหม่ และที่อยู่อาศัยออกไปตามเส้นทางรถไฟฟ้า
- การคมนาคมขนส่งระบบราง จะครอบคลุมทั้งประเทศ มีทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อมเมืองสำคัญ รถไฟรางคู่ และระบบขนส่งเชื่อมโยงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะทำให้ค่าขนส่งสินค้า (Logistic Cost) ของไทยลดลงจากปัจจุบัน 25%
- จะมีการปรับโครงสร้างการใช้พลังงาน โดยการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสีเขียวเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของพลังงานจากฟอสซิล
- ประเทศไทยจะเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของเอเชีย ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะทำให้เด็กไทยเข้าถึงข้อมูลทั่วโลกได้ พร้อมทั้งระบบการเรียนการสอนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ทุกตำบลจะเป็นตำบลดิจิตอล
- ไทยจะมีเมืองใหม่ ที่มีการวางผังเมืองมาตรฐานโลก พร้อมเขื่อนกั้นน้ำทะเลและระบบป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ
- จะเกิดเมืองหลวงภูมิภาคขึ้นหลายแห่ง เนื่องมาจากการกระจายความเจริญ กระจายงบประมาณ กระจายรายได้ กระจายความมั่งคั่งสู่ภูมิภาค
- ไทยต้องมีบทบาทนำในเวทีโลก คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฐานะใด อาชีพใด ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความภูมิใจในความเป็นไทย
- ดัชนีการคอรัปชั่นที่ประเมินโดยต่างประเทศจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ไม่น้อยกว่า 75 %
- กระบวนการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม (Rule of Law) จะเป็นมาตรฐานสากล อันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจจากนานาประเทศ ซึ่งจะมีผลดีต่อการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการบินของเอเชีย จะมีนักท่องเที่ยวเป็น 30 ล้านคนต่อปี สนามบินทั้งดอนเมือง และอู่ตะเภา จะถูกนำมาใช้เป็นสนามบินสากล
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงิน และการพลังงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพของเอเชีย
- ไทยจะเป็นศูนย์ผลิตอาหารเลี้ยงโลก “ครัวไทย สู่ครัวโลก” ด้วยอาหารคุณภาพ (From Farm to Table)
- สินค้าไทยจะเป็นสินค้าที่ทำรายได้จากการสร้างมูลค่า (Value Creation) มากกว่าการขายเพียงวัตถุดิบหรือรับจ้างทำของ
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก แต่เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนาของคนไทย
วันนี้พรรคเพื่อไทยได้อำนาจรัฐอย่างถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแล้ว และมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
ส่วนการทำตามเป้าหมาย 20 ข้อตามวิสัยทัศน์ หรือ 3 ข้อตามนโยบายที่แถลงต่อสภานั้นจะทำได้จริงแค่ไหน จะสำเร็จหรือล้มเหลว ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว